ล่าสุด

2013 Kawasaki Ninja ZX-6R รีวิวการขับขี่มอเตอร์ไซค์

รีวิวมอเตอร์ไซค์ Kawasaki Ninja ZX-6R

รีวิวมอเตอร์ไซค์ Kawasaki Ninja ZX-6R

2013 Kawasaki Ninja ZX-6R รีวิวการขับขี่มอเตอร์ไซค์บนท้องถนน

สรุปได้สองคำครับสำหรับ 2013 Kawasaki Ninja ZX-6R คือ ความมั่นใจและสร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดี

เป็นการนำเทคโลยีอิเลคทรอนิคส์ที่ก้าวหน้าขของรุ่น supersport และระบบกันสะเทือนที่ได้รับการปรับปรุงใหม่พร้อมระบบเบรกที่ทรงพลังมาประกอบเป็น Ninja ZX-6R รุ่นล่าสุดที่เป็นรถมอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ทซึ่งทาง Kawasaki อ้างว่านักบิดส่วนใหญ่คงจะนำมาขับขี่กันในลักษณะนี้

เราเคยได้ทดสอบรถมอเตอร์ไซค์ 2013 ZX-6R บนสนามแข่งมาแล้ว และมอเตอร์ไซค์คันนี้ได้พิสูจน์ตัวมันเองแล้วว่าคุ้มค่าแค่ไหน แต่หลังจากเราได้นำมาขับขี่บนท้องถนนทั่วไปเป็นเวลา 2 เดือน กับบางครั้งที่เราเอาไปลงสนามบ้าง ทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามอเตอร์ไซค์ ZX-6R คันนี้เหมาะที่จะพูดได้ว่ามั่นใจและสร้างแรงบันดาลใจได้เป็นเยี่ยม

มอไซค์รุ่นปี 2013 นี้ใส่เครื่องยนต์ขนาด 636cc ซึ่งก็จะถูกนับให้เข้ากับกลุ่มมอไซค์ขนาดกลางอื่นๆอย่าง Triumph Daytona 675 และ Ducati 848EVO แต่แน่นอนว่าทั้งสองรุ่นที่ว่านี้ไม่ใช่เครื่องแบบสี่สูบเรียง เพราะเป็นแค่ 3 สูบและ 2 สูบตามลำดับ เลยต้องเพิ่มขนาดความจุให้สูงขึ้นเพื่อที่จะได้แช่งขันกันได้

ความจริงว่ากันไปแล้ว Kawasaki ZX-6R คันนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งกับมอไซค์ญี่ปุ่นด้วยกันเอง แต่ให้ ซีซีเพิ่มมาเล็กน้อยก็เพื่อทำให้การขับขี่ที่เร้าใจขึ้น หลังจากที่ผมได้ลองขับเจ้า Ninja ZX-6R มาแล้วสองวันผมก็อดไม่ได้ที่จะเทียบเคียงความสามารถในการบังคับเลี้ยวกับมอเตอร์ไซค์อย่าง GSX-R 750

สำหรับแฟนๆ ที่ชื่นชอบมอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ทแล้วละก็ รับรองว่า Ninja ZX-6R คันนี้มีให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสดวกสบาย พลังเครื่องยนต์ และระบบอิเลคทรอนิคส์ทันสมัยที่สามารถพบเห็นได้ในมอเตอร์ไซค์ supersport ในยุคปัจจุบัน มอไซค์นินจาคันใหม่นี้ มีการปรับปรุงในหลายๆส่วน ทั้งระบบ traction control ที่ปรับค่าได้ถึงสามโหมด และยังสามารถปิดระบบไปเลยด้วยก็ได้ ระบบกำลังสองฆมด และอุปกรณ์เสริมอย่าง ABS อีกด้วย

มอเตอร์ไซค์ ZX-6R ยังมาพร้อมกับยาง Bridgestonr S20 เป็นยางที่พอลองได้ขับขี่แป้บเดียวผมถึงกับหลงรักมันเหมือนกับที่เคยลองกับ 1198 ของผมบนสนามแข่งมาก่อนแล้ว อุณหภูมิของยางจะไต่ขั้นมาได้เร็วดีในสนามแข่งรวมทั้งบนท้องถนนทั่วไปด้วย ทำให้เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่นินจาคันนี้มากขึ้น

ทาง Kawasaki ได้ขนาดซีซีที่ 636 เนื่องจากการเพิ่มช่วงชักมากขึ้น พร้อมกับปรับลูกสอบและก้านสูบให้สั้นลง 1.5 มม เป็นการช่วยเพิ่มแรงบิดในช่วงกลางให้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการขับขี่นอกสนามแข่ง

ความรู้สึกในการขับขี่มอเตอร์ไซค์ ZX-6R คันนี้นั้นจะเหมือนกับรุ่นก่อนหน้าในกรณีรอบต่ำ แต่พลังจะดีกว่าเดิมที่ราวๆ 6000 รอบต่อนาที และเมื่อทำรอบไปแตะ 8000 รอบต่อนาที รถมอเตอร์ไซค์ Ninja คันนี้จะให้พลังต่อเนื่องเป็นเส้นตรงไปจนถึง 14,000 รอบต่อนาที อันเป็นจุดไฟเปลี่ยนเกียร์จะเริ่มสว่างขึ้นมา

พลังขนาดนี้ทำให้เราไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อยสำหรับบางครั้งที่ผมขับขี่ไปตามทางขึ้นลงเขา แค่เข้าเกียร์ให้เหมาะสมแล้วเลี้ยงคันบิดอยู่แถวๆ 8000 ถึง 14,000 รอบต่อนาที หรือจะดันไปให้สุดที่ 16,000 รอบก็ได้เพื่อฟังเสียงอันไพเราะของเครื่องสี่สูบเรียงคันนี้ ช่วงของพลังที้ให้ออกมาดีแบบนี้ทำให้การขับขี่ในสนามแข่งนั้นเหมาะสมอีกด้วย เพราะเราคงเกียร์สูงไว้ได้โดยไม่จำเป็นต้องลดเกียร์ลง

แม้ตัวเลขในฝั่งอเมริกายังไม่ออกมา แต่ก็น่าจะสูสีกับตัวเลขที่โผล่อยู่ในโซนยุโรป นั่นก็คือ 129 แรงม้าที่ 13,500 รอบต่อนาที ซึ่งถือว่าไม่เลวเมื่อเทียบกับ Honda CBR600RR ที่ให้แรงม้ามาที่ 118 แรงม้า และ Yamaha YZF-R6 ที่ให้แรงม้าที่ 122 แรงม้าและ Suzuki GSX-R600 ที่ 124 แรงม้า

นอกจากการปรับปรุงในส่วนของเครื่องยนต์แล้วทาง Kawasaki ยังได้ปรับแต่งระบบ airbox ไปจนถึงระบบจ่ายน้ำมัน และระบบหัวฉีดดิจิตอลอีกด้วย

จากการขับขี่มาสองเดือนวิ่งได้เกือบ 8000 กิโลเมตร ผมยังไม่เจอเหตุการณ์เครื่องยนต์สะดุดเลย แม้จะเจอภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันก็ตาม ระบบจ่ายน้ำมันถือว่าทำงานได้ราบเรียบดีมาก

การเปลี่ยนเกียร์ก็นิ่มนวลดีเท่าๆกับระบบจ่ายน้ำมันเลยก็ว่าได้ ผมไม่เคยพลาดแม้แต่ซักเกียร์เดียว หาเกียร์ว่างก็ทำได้ง่ายๆ และรถมอเตอร์ไซค์ 2013 ZX-6R ยังมีระบบคลัชใหม่แบบสามสปริง พร้อมสลิปเปอร์และระบบช่วยเสริมฟังก์ชั่น ระบบสลิปเปอร์ทำให้การลดเกียร์เป็นไปอย่างนิ่มนวลแม้จะลดเกียร์แบบโหดๆก็ตาม และระบบคลัชในการเปลี่ยนไปเป็นเกียร์สูงก็ไม่มีปัญหาอะไร

หากเปรียบเทียบกับ Ninja รุ่นก่อหน้าแล้วละก็ ZX-6R จะมีเกียร์ 1 ที่ช่วงสั้นกว่า ซึ่งจะรู้สึกได้ชัดเจนเมื่อขับบนท้องถนนทั่วไป และทำให้เราเข้าถึงความแรงในช่วงกลางๆได้เร็วขึ้นอีกด้วย

หากมาดูที่ระบบอิเลคทรอนิคส์แล้ว ซึ่งจะทันสมัยกว่ามอเตอร์ไซค์สี่สูบเรียง 600cc ของค่ายญี่ปุ่นรุ่นอื่นๆ ระบบจะโดดเด่นตรงเรื่องระบบ Traction Control ที่ปรับได้สามระดับ เหมือนๆกับที่เจอในรุ่น hypersport ZX-14R และโหมดกำลังสองโหมด แต่ในส่วนของระบบ ABS แล้วมอเตอร์ไซค์คันที่เราลองไม่มี ABS ติดมา

โหมด “hi” หรือพลังสูงนั้นจะถูกใช้กว่า 90% โดยจะให้แรงม้าออกมาเต็มกำลัง ส่วนโหมด “Low” นั้นเหมาะกับสภาพถนนเปียก โดยเป็นระบบที่มีการจำกัด Traction Control อยู่บ้าง โหมดนี้จะจำกัดแรงม้าไว้ที่ประมาณ 80% หลังจากเครื่องยนต์แตะ 7000 รอบต่อนาที

ระบบ Traction Control ที่มาพร้อมกับสามโหมดและความสามารถในการเลือกที่จะปิดระบบได้ ถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้การขับขี่ในท้องถนนทั่วไปนั้นทำได้โดยง่าย โหมด 1 และ 2 จะให้อัตราเร่งสูงสุด โดยหมดหลังจะยอมให้ระบบ TC เข้ามาทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

มีอยู่ครั้งเดียวที่ผมต้องปิดระบบ TC คือตอนที่ผมต้องการขับแบบเถื่อนๆ และต้องการยกล้อ นอกจากนั้นแล้วผมก็คงไว้ที่โหมดเลข 1 ตลอด ถือว่าเป็นระบบที่ทำงานได้ดีเยี่ยม แม้ผมจะลองเปิดคันเร่งตอนอยู่กลางโค้งก่อนกำหนดผมก็แทบจะไม่รู้สึกเลยว่าระบบ TC มันทำงานตอนไหน ทาง Kawasaki แจ้งว่าข้อมูลต่างๆจะถูกตรวจวัดและประมวลผลซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ 200 ครั้งใน 1 วินาที ก่อนที่ระบบ TC จะเริ่มเข้าไปยุ่งเกี่ยวและลดกำลังเครื่องยนต์ลงผ่านการควบคุมเวลาในการจุดระเบิด ระบบแบบนี้ทำให้ผู้ขับขี่ไม่รู้สึกสะดุดเลยแม้แต่น้อยว่าระบบ TC กำลังทำงาน

โหมด 2 จะให้อัตราเร่งอย่างเต็มที่ และการทำงานของ TC จะเข้ามาเร็วขึ้น ผมลองใช้โหมดนี้ตอนช่วงเช้าๆ ในตอนที่ถนนยังเปียกชื้นอย่บ้าง หรือหลังฝนตกใหม่ๆและถนนเพิ่งจะเริ่มแห้ง

ส่วนโหมด 3 เหมาะสำหรับกรณีถนนเปียก โหมดนี้จะเหมือนกับการจูนระบบมอเตอร์ไซค์สปอร์ททัวร์เร่อตัวดังของ Kawasaki อย่าง Concours 14 โดยในภาวะปกติมันจะทำงานตามลอจิกของโหมด 1 และ 2 แต่มันจะเปลี่ยนแปลงทันทีเมื่อเจอว่าล้อหลังหมุนฟรีมากไป โดยจะไปควบคุมการทำงานของระยะเวลาการจุดระเบิด การส่งน้ำมัน และระบบหัวจ่าย ระบบนี้ทำให้โหมด 3 นั้นลดความแรงของเครื่องยนต์ลงไปจนถึงจุดที่ทำให้ล้อหลังมายึดเกาะถนนได้อีกครั้ง แม้ว่าถนนจะลื่นแค่ไหนก็ตาม

รีวิวมอเตอร์ไซค์ Kawasaki Ninja ZX-6R

จากลองคำนวนดูพบว่า สามารถปรับแต่งได้ทั้งหมด 8 กรณีด้วยกัน โดยการเลือกโหมดกำลังเครื่องยนต์ในแต่ละกรณี พร้อมกับโหมดของระบบ KTRC ได้อีก 3 บวกกับการปิดระบบไปเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วโหมดกำลังจะอยู่ที่ เต็มกำลัง และค่า KTRC ที่โหมด 1 กรณีนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในกรณีการขับขี่แนวสปอร์ทแบบดุดัน เพราะยังเปิดช่องให้มีการผิดพลาดจากฝีมือคนขับได้บ้างโดยไม่ต้องเสียความรู้สึกถึงพลังความแรงมากนัก

ในแง่ของการเข้าโค้งแล้ว การแบกน้ำหนักขนาด 428 ปอนด์ ของเจ้า Kawasaki ZX-6R เพื่อเข้าโค้งนั้นอาจจะต้องใช้ความพยายามนิดนึง การเลี้ยวทำได้รวดเร็วเนื่องจากมุมเอียงของส่วนหัวนั้นชันกว่าเดิม เมื่อผสมกับระยะระหว่างล้อที่ยาว 54.9 นิ้ว ซึ่งถือว่ายาวที่สุดในบรรดารถมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นขนาด 600cc สี่สูบเรียงด้วยกัน ก็จะช่วยให้เกิดความคล่องตัวและความมั่นคงในการสภาวะการขับขี่จริงๆได้มาก

ส่วนผสมทั้งสองอย่างนี้ทำให้ 2013 Kawasaki ZX-6R สามารถเข้าโค้งได้เร็ว และยังคงมีความเสถียรทั้งช่วงกลางและตอนออกจากโค้ง ตัวช่วยอีกอย่างก็คงเป็นระบบกันสะเทือน โดยตะเกียบหน้าจะเป็น Showa Big Piston ขนาด 41 มม ซึ่งเป็นแบบแยกกันทำงาน (Separate Function Fork – BP-SFF) ซึ่งถือเป็นของใหม่สำหรับรุ่นปี 2013 นี้ ส่วนล้อหลังก็จะเป็นของ Uni-Trak

เนื่องจากมอเตอร์ไซค์คันที่เราทดสอบนั้นทดสอบต่อจากนิตยสารอีกเจ้าที่ทดสอบบนสนามแข่งอย่างเดียว ค่ากันสะเทือนที่ตั้งมาเลยแข็งมาก จุดเด่นของ Showa BP-SFF ก็คือความสะดวกในการปรับแต่งค่า ทุกอย่างอยู่ตรงส่วนบนของโช้คหน้า ค่าพรีโหลดปรับได้ตรงด้านซ้าย ค่าการอัดและค่ารีบาวด์ปรับได้ตรงด้านขวา เราแค่ปรับค่าเป็นค่าเดิมของโรงงานแล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมาก

ตะเกียบหน้าแสดงความสามารถในการรองรับภาวะการเบรกแรงๆ ที่ออกแบบมาสำหรับสนามแข่งได้เป็นอย่างดี เมื่อมีการเริ่มแตะเบรกทุกอย่างก็ดูนิ่มนวลและสร้างความมั่นใจในการขับขี่ได้มาก

ที่เป็นเรื่องใหม่สำหรับมอเตอ์ไซค์ 2013 Kawasaki Ninja ZX-6R อีกอย่างก็คงเป็น คาลิบเปอร์แบบโมโนบล้อคของ Nissin และจานคู่ขนาด 310 มม ด้านหน้า ระบบใหมนี้ทำให้การจับเบรกช่วงแรกแน่นดี ไม่มีการสั่นแม้จะเบรกแรงๆ การตั้งค่าก็ดูสอดคล้องกันดีกับโหมดการขับขี่ต่างๆ ไม่มีคำว่าเบรกหาย ช่วยเพิ่มความมั่นใจไปอีกขั้น

ในแง่ของท่านั่งแล้ว ด้วยความสูงของผมก็ถือว่าเหมาะสมดี น้ำหนักไม่ลงไปที่ข้อมือมากเกิน มุมก็ไม่โหดจนเกินไปที่จะทำให้ผมเจ็บหลังหากขับนานๆ

ลมที่กระแทกกับหมวกกันน้อคในภาวะที่ยังไม่หมอบตัวลงเต็มที่ตอนขับบนทางด่วนก็ถือว่าเหมาะสมดีสำหรับรถแนวสปอร์ทแบบนี้ กระจกมองหลังใช้งานได้ดี เห็นภาพกว้างกว่าไหล่ตัวเองเป็นไหนๆ สำหรับเบาะนั่งแล้วถือว่าใช้ได้ดี ให้ความรู้สึกมั่นคงดี แต่เมื่อขับขี่นานๆ จะรู้สึกเมื่อยก้นบ้าง แต่คิดว่าหาเบาะข้างนอกมาเปลี่ยนได้ไม่ยาก

หน้าปัทว์ของ 2013 Kawasaki ZX-6R นั้นถือว่าสวยเริด มีทั้งการแสดงผลระบบอนาลอกเพื่อความเป็นสปอร์ทพร้อมการแสดงผลแบบดิจิตอล ทั้งความเร็ว โหมดกำลัง โหมด TC ตำแหน่งเกียร์ และเวลา สำหรับบางคนแล้วอาจจะคิดว่าจุดด้อยของ Ninja คันนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีแฟรริ่งมาหุ้มเท่าไหร่ แต่สำหรับผมแล้วเห็นสายไฟพันไปมานั้นถือว่าดูสวยดี เพราะคงความเป็นรถสปอร์ทได้ดี

แผงหน้าปัทว์ก็มีไฟส่องสว่างชัดเจนแม้ขับในที่มืด ไฟหน้าที่เป็นไฟต่ำก็ให้การส่องสว่างที่ดี เมื่อลองเปิดไฟสูงดูก็จะได้มุมมองที่กว้างเหมาะสำหรับการขับขี่ไปในย่านชนบทที่ไม่ค่อยมีไฟตามท้องถนนเป็นอย่างดี

ทาง Kawasaki แจ้งว่าคนที่ซื้อมอเตอร์ไซค์ ZX-6R จำนวน 80 percent จะนำไปขี่บนท้องถนนทั่วไป และจากการที่เราได้ลอง รีวิว มอเตอร์ไซค์ คันนี้ด้วยการทดสอบการขับขี่มานานสองเดือน เราก็เห็นด้วยว่านักบิดส่วนใหญ่ที่ได้ขับขี่มันแล้วจะต้องยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบการขับขี่แต่ละครั้งแน่นอน

สำหรับ ราคา มอเตอร์ไซค์คันนี้ในอเมริกานั้นอยู่ที่ $11,699 หรือประมาณ 350,000 บาท สำหรับมอเตอร์ไซค์ รุ่น 2014 แล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก ยกเวันมีการเปลี่ยนไม่ขายสี ดำ แต่จะมีสีออกส้มมาขายแทน

2013 Kawasaki Ninja ZX-6R Specs

  • Engine: Four-stroke, liquid-cooled, DOHC, four valves per cylinder, inline-four
  • Displacement: 636cc
  • Bore x stroke: 67.0 x 45.1mm
  • Compression ratio: 12.9:1
  • Fuel injection: DFI with four 38mm Keihin throttle bodies and oval sub-throttles
  • Ignition: TCBI with digital advance
  • Transmission: Six-speed
  • Final drive: 520 series X-ring chain
  • Rake / trail: 23.5 degrees / 4.0 in.
  • Frame type: Aluminum perimeter
  • Front tire: 120/70 ZR17
  • Rear tire: 180/55 ZR17
  • Wheelbase: 54.9 in.
  • Front suspension / wheel travel: 41mm inverted Showa BP-SFF fork with top-out springs, stepless compression and rebound damping, adjustable spring preload / 4.7 in.
  • Rear suspension / wheel travel: Bottom-link Uni-Trak with gas-charged shock, top-out spring and pillow ball upper mount, stepless compression damping, 25-way adjustable rebound damping, fully adjustable spring preload / 5.3 in.
  • Front brakes: Dual 310mm petal rotors with dual radial-mount, Nissin four-piston, monobloc calipers with optional KIBS ABS
  • Rear brake: Single 220mm petal rotor with single-piston caliper with optional KIBS ABS
  • Overall length: 82.1 in.
  • Overall width: 27.8 in.
  • Overall height: 43.9 in.
  • Fuel capacity: 4.5 gal.
  • Seat height: 32.7 in.
  • Curb weight: 427.8 lbs.

เรียบเรียงโดย mocyclover.com
ขอบคุณเรื่องจาก ultimatemotorcycling.com

ads2

Advertisment

9,025 views