รีวิวมอเตอร์ไซค์ Honda 2013 CBR500
ก่อนที่ภาวะเศรษฐกิจจะซบเซาเหมือนปัจจุบัน ฮอนด้าผลิตมอไซค์รุ่นต่างๆออกมาครองตลาดอย่างมากมาย รถยิ่งคันใหญ่ๆ ก็หมายถึงกำไรสูงๆ แรงม้าเยอะๆคือสิ่งที่ลูกค้ามองหา การกลับมาอีกครั้งของความนิยมในมอไซค์บิ้กไบค์ทำให้บรรดาผู้ผลิตต่างก็ต้องมองหาอะไรใหม่ๆ เพื่อที่จะดูดเงินจากกระเป๋านักบิดให้มากขึ้น
แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครสามารถทำได้ดีไปกว่าฮอนด้าอีกแล้ว มอไซค์รุ่น CBR125 ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ด้วยยอดขายถล่มทลายทั่วโลก ตามมาด้วย CBR250 ที่ยิ่งได้รับความนิยมสูงกว่าเข้าไปอีก ทางบริษัทฮอนด้าก็ยังทุ่มเงินสนับสนุนโครงการสนามฝึกขับมอไซค์ไปเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนได้รู้จักกับความสนุกสนานเพลิดเพลินในการขับขี่มอเตอร์ไซค์
ในแง่ของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่จะออกวางตลาดแล้วในปี 2013 ก็เริ่มเห็นมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมให้สำหรับผู้ที่เริ่มเบื่อกับคันเล็กๆอย่าง CBR125R และ CBR250Rs กลุ่มนักบิดเหล่านี้ต่างมองหารถมอไซค์ที่ใหญ่และท้าท้ายกว่าเดิม และนั่นคือที่มาของมอไซค์ในกลุ่ม CBR500 (ประกอบด้วยสามรุ่นคือ CB500F แบบธรรมดา CBR500R แบบสปอร์ท และ CB500X แบบแอดเวนเจอร์) ตามหลังกลุ่ม 125 และ 250 มาติดๆ ที่ใครๆก็ต้องมองออกว่ามาจากนักออกแบบคนเดียวกันแน่นอน
เริ่มจากคอนเซ็บของเครื่องยนต์ในลักษณะแบบ global (หมายถึงเป็นการใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกันทั่วโลกในแต่ละรุ่นเพื่อที่จะลดต้นทุนการวิจัยและพัฒนา เปลี่ยนแต่เฉพาะรูปลักษณ์และอุปกรณ์เสริมสำหรับแต่ละตลาดเท่านั้น) เครื่องยนต์แบบ twin-cylinder ขนาด 500ccได้ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสมกับความต้องการของนักบิดที่ต้องการความแรงในการขับขี่ เบาะนั่งสูงเพียง 785 มม (สูงกว่า CBR250R อยู่ 10 มม) น้ำหนักรถโดยรวมอยู่ที่ 193 กิโลกรัมซึ่งถือว่าหนักกว่ารุ่นน้องอย่าง CBR250R เพียง 30 กิโลกรัมเท่านั้น ทำให้การขับรถรุ่นนี้รู้สึกเหมือนขับรุ่น 250 การควบคุมการขับขี่จึงรู้สีกได้ถึงความนุ่มนวล เบาแรง ทำให้การขับขี่รถรุ่นนี้แม้จะมีซีซีใหญ่กว่าก็ไม่ได้รู้สึกทำให้ลำบากใจแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบิดหน้าใหม่ที่อาจจะกล้าๆกลัวๆกับคำว่า 500cc ที่อาจจะคิดว่าใหญ่เกินตัว
แต่หากมามองเรื่องขุมกำลังแล้วละก็แม้จะเป็นตัวเลข 500 ก็จริงแต่ซีซีที่แท้จริงนั้นคือ 471cc ไม่ได้เต็ม 500 เหมือนที่หลายคนอาจจะคิด กำลังม้าก็เพียงประมาณ 47 แรงม้าเท่านั้น อาจจะยังไม่เข้าข่ายที่จะเรียกได้ว่าเป็น superbike มากนัก แต่ด้วยคุณภาพของเครื่องยนต์ที่ผ่านการพัฒนาของฮอนด้า ถ้าได้ขับแล้วจะรู้สึกว่าเร็วและแรงกว่าตัวเลขที่มองเห็น ก็ต้องยกนิ้วให้กับเครื่องยนต์สองสูบเรียงที่นับว่าดีที่สุดในปัจจุบันเมื่อเทียบกับของค่ายอื่นๆ ให้แรงบิตที่สูงพอตลอดช่วงความเร็ว ที่น่าประทับใจก็เมื่อได้ลองบิดเครื่องยนต์จนถึงขีดแดงแล้วดูการตอบสนองของเครื่องยนต์ก็พบว่าสุดยอดเลยทีเดียว ในตลาดกลุ่มนี้นักบิดมักให้ความสำคัญกับเสียงคำรามของเครื่องยนต์มาก ซึ่งฮอนด้าก็จูน CBR500 เครื่องนี้มาได้อย่างไม่มีที่ติ
สำหรับระบบเบรกของ CB500 นอกจากดูสวยงามและมีความเทห์อยู่ในตัวแล้ว ยังทำหน้าที่หยุดรถได้อย่างไร้กังวลอีกด้วย ข้อสังเกตุระบบเบรกของฮอนด้าคือจานเบรกหน้าและจานเบรกหลังจะมาจากเบ้าเดียวกันเพื่อลดความสิ้นเปลืองและประหยัดค่าใช้จ่าย ระบบป้องกันการล้อคล้อนั้นมีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับทุกรุ่นยกเว้นรุ้น R ทำให้รถรุ่นนี้นอกจากมีความเป็นสปอร์ทแล้วยังมีความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วย
ในแง่ของข้อเสียของรถรุ่น CBR500 ก็คงจะเป็นประเด็นที่รุ่นนี้พยายามทำให้รถเบาเหมือนรุ่น CBR250 ผลก็คือความเบาเมื่อขับรถที่ความเร็วสูงทำให้รู้สึกเหมือนจะปลิว หากขับที่ความเร็ว 80 กม/ชม อาจจะรู้สึกว่าขับได้สบายๆ กลับกลายเป็นว่าที่ความเร็วซัก 130 กม/ชม นั้นเหมือนจะปลิวเล็กน้อย ไม่ใช่ว่า CBR500 ไม่เสถียรนะครับ แต่หากเราไปขับรถแนวทัวร์ริ่งแล้วก็จะรู้สึกได้ชัดเจนว่าแตกต่างกันแน่แง่ของความนิ่งของรถที่ความเร็วสูง ซึ่งฮอนด้าแจ้งว่าความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 170 กม/ชม
กลับมาในเรื่องของรูปร่างของรถที่รุ่น R เป็นแบบฟูลแฟร์ส่วนรุ่น F เป็น naked สำหรับส่วนตัวผมแล้วจะชอบความรู้สึกและตำแหน่งนั่งขับของแบบ naked มากกว่า และอาจจะเพราะด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ชัดเจนไม่ถูกบดบังด้วยส่ิงห่อหุ้มเหมือนในรุ่น R อีกด้วย อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ทั้งสองก็ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนามอเตอร์ไซค์สำหรับการเข้าสู่ตลาด bigbike แม้ว่าในประเด็นของตัวรถที่รุ่น CBR500 นั้นอาจจะเล็กไปสำหรับคนตัวสูงใหญ่ หรือนักบิดที่ชำชอง แต่ในแง่ของการที่เป็นรุ่นถัดไปของกลุ่ม CBR125 หรือ CBR250 แล้ว ก็ถือว่ารุ่น CBR500 นั้นพัฒนาขึ้นมาอย่างพอเหมาะพอเจาะเลยทีเดียว
สำหรับราคาของ CBR500R ในไทยก็อยู่ที่ประมาณ 210,000 บาท CBR500F ก็ประมาณ 205,000 บาทและรุ่น CBR500X ก็อยู่ที่ประมาณ 215,000 บาท
SPECS: HONDA CBR500R
ENGINE
Type: Liquid-cooled, eight-valve parallel twin
Capacity: 471cc
Bore x stroke: 67.0mm x 66.8mm
Compression ratio: 10.7:1
Fuel system: Electronic fuel injection
Emissions: Euro 3
PERFORMANCE
Claimed maximum power: 50hp (36.8kW) at 8500rpm
Claimed maximum torque: 43Nm at 7000rpm
TRANSMISSION
Type: Six speed
Final drive: Chain
Clutch: Wet
CHASSIS AND RUNNING GEAR
Frame type: Steel diamond
Front suspension: 41mm telescopic fork, non-adjustable
Rear suspension: Monoshock, nine-stage preload adjustment
Front brakes: 320mm disc with twin-piston caliper
Rear brake: 240mm disc with single-piston caliper
Wheels: Cast aluminium, Y-spoked
Tyres: Front 120/70-17, rear 160/60-17
DIMENSIONS AND CAPACITIES
Claimed kerb weight: 192kg (194kg ABS)
Seat height: 790mm
Wheelbase: 1410mm
Fuel capacity: 15.7 litres
ads2