รีวิวเปรียบเทียบ Kawasaki Ninja 300 กับ Ninja ZX-14R
มอเตอร์ไซค์รีวิว ทดสอบเพื่อเปรียบเทียบระหว่าง Kawasaki Ninja 300 กับ Ninja ZX-14R
มาอีกครั้งนะครับสำหรับการรีวิวมอเตอร์ไซค์เชิงเปรียบเทียบระว่าง Ninja 300 ABS กับ Ninja ZX-14R โดยทั้งสองรุ่นเป็นรุ่นปี 2013 หากถามว่าทำไมถึงจับยี่ห้อเดียวกันแต่ต่างรุ่นกันมาทดสอบ คันใหญ่กว่าต้องดีกว่าอยู่แล้ว ต้องขอบอกว่าว่ามอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่กว่า แพงกว่า อาจจะไม่ได้ดีกว่าเสมอไป ตามที่เคยได้เขียนเรื่อง 7ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ มาแล้ว
เหตุผลก็จากเรื่องราวของเกร็ดความรู้ทั่วไปที่ว่า นักขับรถมอเตอร์ไซค์แบบสปอร์ตที่เพิ่งลองขับเป็นครั้งแรกมักจะเริ่มต้นที่มอเตอร์ไซค์คันเล็กอย่าง Ninja 300 หรือไม่ก็โน่นเลย Superbike อย่าง ZX-14R เพราะอาจจะคิดว่าไหนๆก็ซื้อรถแนวนี้แล้วก็ขอซื้อคันใหญ่ไปเลย กระเป๋าหนาอยู่แล้วไม่ต้องมาเสียดายรถคันเก่าตอนเปลี่ยนคันใหม่อยู่อีก ด้วยเหตุผลนี้เราเลยจับคู่ใหญ่กับเล็กมาเทียบกันเลย และขอเป็นยี่ห้อเดียวกันด้วยจะได้ไม่รู้สึกว่าก็อีกยี่ห้อเป็นใหญ่หรืออ้าวก็อีกยี่ห้อเป็นคันเล็ก จะได้ตัดตัวแปรเรื่องการต่างยี่ห้อออกไป
เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น ผมคนที่รีวิวมอเตอร์ไซค์คันนี้ก็มีประสบการณ์ในการขับรถแข่งพวกแนว dirt bike หรือรถแนววิบาก และรถที่ขับทุกวันก็เป็นรถธรรมดา Kawasaki KLR650 และเคยขับ Harley-Davison ครุยเซอร์มาบ้าง
2013 Kawasaki Ninja 300 ABS กับภาพที่ออกมา
ด้วยความที่เป็นคนขับที่ชอบที่วางเท้าแบบตำแหน่งล่างตรง และชอบนั่งตัวตรง เมื่อมาเจอ Ninja 300 ABS ก็เริ่มคิดว่าจะวางเท้ายังไงดีที่จะไม่มีผลกับกำลังเครื่องยนต์และความสามารถในการขับขีรถมอเตอร์ไซค์คันนี้
ว่าแล้วก็กลับไปค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถทั้งในแง่สเป็ครถ หรือหนทางที่อาจจะเกิดความเสี่ยงในการขับรถคันนี้ กลัวว่าถ้าขับแบบนี้นานๆ จะปวดหลังหรือเปล่า จะเมื่อยขาหรือเปล่า ผลออกมาก็คือไม่เห็นมีใครบ่นอะไรมากมาย ก็เบาใจไประดับนึง
ผมก็เริ่มต้นด้วยการขับเจ้า Ninja 300 ก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าสไตล์การขับแบบนี้นั้นโอเคและจะได้เรียนรู้เทคนิตการขับขี่ต่างๆสำหรับรถแนวสปอร์ทไบค์ พบว่าแม้ตัวผมจะใหญ่ก็น่าประหลาดใจที่นั่งขับได้สบายดี
หรือในอีกแง่หนึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดที่ตัองนั่งก้มหน้าไปจับแฮนด์และก็ยังไม่ได้รู้สึกปวดขาแต่อย่างใด แม้ว่าตำแหน่งที่นั่งเหมือนจะทำให้คนขับนั้นต่ำลง และต่ำกว่าความเคยชิน ก็ไม่ได้รู้สึกสูญเสียการทรงตัวอันเนื่องมาจากการที่น้ำหนักทุ่มไปข้างหน้ามากนัก
ดังนั้นการควบคุมรถในกรณีที่เข้าโค้งหักศอกก็อยู่ที่ประสบการณ์การขับรถของผมเอง และยังไม่ค่อยมั่นใจการเกาะถนนของยางรถในช่วงการขับขี่แรกๆ หลังจากที่มั่นใจมากขึ้นในการขับขี่เจ้า Ninja 300 คันนี้เข้าโค้งแบบโหดๆได้ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มั่นใจเต็มร้อยเพราะยังรู้สึกว่ายางหลังนั้นไม่ได้ให้ความแม่ยำในการเข้าโค้งเหมือนที่อยากจะให้เป็น
แต่ต้องยอมรับนิดนึงนะครับว่าเป็นข้อสังเกตุที่ขึ้นอยู่กับบุคคลมากกว่าที่จะเกี่ยวข้องกับความเร็วหรือมุมในการเข้าโค้งที่ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ นักบิดบางคนอาจจะบอกว่าการเข้าโค้งครั้งนี้ยางหลังทำงานได้ดีแล้วก็เป็นได้ แต่เอาเป็นว่าสำหรับผมแล้วยังไม่ค่อยเชื่อใจยางหลังเท่าไหร่
อีกอย่างที่น่าประหลาดใจก็คือการที่มอเตอร์ไซค์คันนี้ให้กำลังเร่งเหลือหลายจากจุดหยุดนิ่งจนพาผมทะยานออกไป แม้น้ำหนักผมจะมากกว่าคนทั่วไปก็ตาม เครื่องยนต์ DOHC แบบ twin นั้นให้ความรู้่สึกที่ลื่นไหลของอัตราเร่งในช่วงต้นและกลาง และไม่ถึงกับแผ่วเมื่อเปลี่ยนเกียร์ขึ้นที่ความเร็วรอบต่ำกว่า 8000 รอบต่อนาทีแต่อย่างใด
ข้อสังเกตุอันหนึ่งก็คือคนขับต้องเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงบ่อยเมื่อเทียบกับรถที่เครื่องใหญ่กว่า ข้อสังเกตุนี้ไม่ใข่เป็นการติติง แต่เป็นข้อคิดเห็นมากกว่าว่ารถมอเตอร์ไซค์ที่เครื่องยนต์มีขนาดเล็กนั้นก็ต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อยเป็นธรรมดา เพราะจะลากเกียร์ต่ำที่ความเร็วสูงก็ไม่ได้ จะวิ่งเกียร์สูงที่ความเร็วต่ำก็ไม่มีแรง แต่สิ่งที่น่ายินดีก็ตรงเสียงคำรามเวลาวิ่งที่ความเร็วสูงบนทางหลวงนั้นไม่ค่อยมีเหมือนมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์เล็กทั่วไป ส่วนเรื่องการเบรกแม้ Ninja 300 จะมีแค่จานเบรกหน้าแต่การหยุดรถทำงานได้ดีและคาดเดาได้ว่าจะหยุดตรงไหน ผมไม่ได้ขับแบบโหดๆพอที่จะลองระบบ ABS ว่าเป็นยังไง แต่ระบบเบรกถือว่าใช้งานได้ดีทีเดียว
ส่วนที่น่าสนใจสำหรับมอเตอร์ไซค์คันนี้คือหน้าจอแบบดิจิตอลที่มีสัญญลักษณ์แสดงถึงการใช้น้ำมันอย่างประหยัด ซึ่งก็คาดเดาว่าน่าจะมาจากการคำนวนค่า รอบต่อนาที และความเร็วเป็นหลัก ก็ไม่เข้าใจว่าทำไม Kawasaki ถึงจำเป็นต้องแสดงค่านี้สำหรับรถแนวสปอร์ทไบค์ แต่ตัวเลขบอกว่าทำได้ 68 ไม่ล์ต่อแกลลอน แต่จากที่บางคนขับบอกผมว่าทำได้ 100 ไมล์ต่อแกลลอนเลยทีเดียว
ข้อติติงของผมสำหรับเจ้า Ninja 300 คันนี้ก็มีเรื่องกระจกข้างที่ความสูงนั้นน้อยไปหน่อย ทำให้ผมต้องขยับไหล่เคลื่อนข้อศอกไปอยู่ตำแหน่งประหลาดๆ ทำท่าเหมือนโดนมดกัดก้น เพื่อมองดูสภาพด้านหลัง ตำแหน่งและความยาวไม่สามารถเปลียนไปได้มากนักหากไม่ต้องการย้ายตำแหน่งก้น หากมีการเพิ่มความยาวของกระจกในแนวดิ่งมากขึ้นให้เหมือนกับ ZX-14R ละก็ น่าจะเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่มากขึ้น
การที่จะตราหน้าว่า Ninja 300 ABS เป็นของเด็กเล่นนั้นอาจจะเป็นการดูถูกไปหน่อย เมื่อเทียบกับความสามารถของเครื่องยนต์และคุณสมบัติในการขับขี่ แน่นอนว่า Ninja 300 นั้นเทียบไม่ได้กับมอเตอร์ไซค์รุ่นใหญ่สำหรับการขับขี่ทางตรง แต่หากเป็นถนนที่โค้งวกวนแล้วละก็ผมคิดว่าสูสี
2013 Kawasaki Ninja ZX-14R ABS กับภาพที่ออกมา
ก็เหมือนกับที่ผมทำกับ Ninja 300 ABS มาแล้ว ผมก็ได้ไปศึกษาหาข้อมูลของ Ninja ZX-14R มาเพียบก่อนที่จะลองขับ และผมก็เริ่มประทับใจกับตัวเลขสเปคต่างๆ ตั้งแต่ต้น
และก็พอจะสรุปได้ว่า ZX-14R นั้นน่าจะขับได้อย่างสบายใจกว่ารถ KLR-650 ที่ผมขับอยู่แน่นอน ด้วยเพราะพละกำลังที่เหลือเฟือพร้อมกับ ABS แต่ผมก็ยังห่วงอีกสองประเด็นถ้าหากจะขับมอเตอร์ไซค์คันนี้ นั่นก็คือการขับรถที่มีพลังสูง กับท่านั่งที่ยิ่งเป็นแนวรถสปอร์ทไบท์มากขึ้น แม้จะไม่เท่ากับ ZX-10R หรือ ZX-6R ก็เถอะ
มองดูจากภายนอก ZX-14R นั้นเหมือนจะเป็นเสือที่พร้อมจะทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เส้นสายการออกแบบและการจัดวางเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆนั้นทำให้นึกถึงยานพาหนะในหนังเรื่อง Star Wars แต่มีล้อเสียมากกว่า เลยต้องเตือนความจำนิดนึงว่ามอเตอร์ไซค์คันนี้ไม่ได้สร้างจากนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นผลผลิตทางเทคโนโลยีที่ทำให้ให้การขับขี่มอเตอร์ไซค์นั้นง่ายขั้นมาก
ZX-14R นั้นมีคลัชแบบสลิปเปอร์ทำให้ไม่เกิดการล้อคหรือกระโดดที่ล้อหลังเมื่อเปลี่ยนเกียร์ลงอย่างรวดเร็ว และด้วยระบบหัวฉีดแบบดิจิตอล (DFI) ทำให้สามารถควบคุมการเร่งได้อย่างแม่นยำไม่ว่าคนขับจะบิดคันเร่งแบบไหน พร้อมทั้งระบบจุดระเบิดแบบ Dual mode ที่ทำให้สามารถลดกำลังลง 50% ได้ทันที ผลที่ได้คือการเข้าเกียร์ที่นุ่มนวลอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องรู้สึกไหล่กระตุกทุกครั้งที่เปลี่ยนเกียร์
ปกติแล้วเจอรถมอเตอร์ไซค์แรงๆแบบนี้ผมก็มักจะบิดแบบไม่ลืมหูลืมตากับเครื่องยนต์ 200 แรงม้า ทำความเร็วเฉียด 300 กม/ชม แต่โขคดีที่ด้วยอายุและประสบการณ์ ผมก็ไม่ได้บิดจนสุดขนาดนั้นเลยพาเจ้า Ninja ZX-14R ขนาด 1441cc คันนี้ขับอยู่บนท้องถนนได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ได้หลุดโค้งไปไหน
แน่นอนว่า Ninja ZX-14R คันนี้ออกแบบมาในแนวหมาป่าที่สวมเสื้อคลุมมิดขิด คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนขับละครับว่าขับออกมาแล้วจะยังเป็นหมาป่าหรือกลายเป็นขี่แกะไป แต่สำหรับผมแล้วผมเลือกอย่างหลังมากกว่า แม้ว่าบางช่วงผมจะลองบิดได้เร็วกว่าที่เคยขับมอเตอร์ไซค์คันไหนๆมาก แต่ผมขออุบไว้ก่อนว่าความเร็วสองสุดเป็นเท่าไหร่ ไม่อยากโดนเยาะเย้ยว่าเอาหมาป่าไปขี่แล้วยังทะยานได้แค่ลูกแพะ ฮะ ฮะ
แม้ว่าหน้าตาภายนอกจะดูเทอะทะแต่การเข้าโค้งหักศอกนั้นถือว่าทำได้ดีทีเดียว แม้อาจจะไม่ดีเท่ามอไซค์ที่เล็กกว่าอย่าง ZX-10 แต่ก็ดีพอที่จะเข้าโค้งได้อย่างมันใจ อย่าง Ninja 300 เวลาเข้าโค้งอาจจะห่วงล้อหลังแต่เจ้า ZX-14R นั้นเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำและมั่นใจได้จริงๆ
ระบบเบรก ABS ก็ทำงานได้ดีทั้งการเบรกธรรมดาและเบรกแรงๆ เครื่องยนต์ก็ประสานการทำงานไปกับเบรกได้อย่างดี กันสะเทือนหลังก็ไม่ได้เปลี่ยนค่าอะไรให้เข้ากับน้ำหนักตัวผม แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเบรกแล้วหัวทิ่มแต่ประการใดเมื่อต้องเข้าโค้งยากๆ แถมผมยังขับรถคันนี้ได้อย่างมั่นใจตั้งแต่ช่วงต้นๆ ด้วยซ้ำ
แผงหน้าปัทว์ก็จัดวางให้อ่านง่าย เข็มวัดความเร็วและวัดรอบก็เป็นแบบอนาลอกจัดวางไว้ใต้จอ LCD อ่านค่าง่ายแม้แสงแดจ้า เสียอย่างเดียวคือการเข็ครถดับน้ำมันระหว่างขับขี่ในบางกรณีที่มีแสงบดบังจากแฮนด์ อีกอย่างหนึ่งที่ดีกว่า Ninja 300 คือกระจกมองข้างที่แนวดิ่งนั้นกว้างพอที่จะมองเห็นสภาพข้างหลังได้ชัดเจน หลังจากขับไปหลายชั่วโมงก็พบว่าน่าประหลาดใจที่ขับได้อย่างสบายๆ เทียบกันระหว่างสองรุ่นนี้แล้วผมขับ ZX-14R นานกว่ามากในสภาพท้องถนนที่แตกต่างกันหลายรูปแบบ ทั้งทางหลวง ทางธรรมดา ทีมงานบอกว่าจะกลับมาขับ Ninja 300 ไหมระหว่างกลับบ้าน ผมก็บอกว่าไม่เอา
ภาพรวมแล้วการขับ ZX-14R นั้นไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่ผมวาดภาพไว้ตอนต้น ระบบต่างๆทำได้ดี ทุกอย่างแม่นยำและลื่นไหลมาก
ผลสรุประหว่าง Ninja 300 กับ Ninja ZX-14R
ในความคิดเห็นผมแล้ว มองว่า Ninja 300 นั้นเหมาะสำหรับนักบิดที่ไม่เคยขับมอเตอร์ไซค์มาก่อนและอยากจะขับรถแนวสปอร์ทไบท์และขับเป็นแนวรถ street bike เพราะจะทำให้นักบิดมือใหม่ได้มีโอกาสสร้างความมั่นใจในการขับขี่รถแนวนี้ได้ดี ไม่ต้องห่วงว่าจะบิดเกินแล้วเครื่องจะพุ่งทะยานมากเหมือนไปขับรถใหญ่ และในส่วนของราคาแล้วถือว่าเหมาะสมอีกด้วย เหมาะที่จะเป็นรถสำหรับผู้เริ่มต้น เทคโนโยครบครัน และประหยัดน้ำมัน
ส่วน Ninja ZX-14R นั้นผมคิดว่าเหมาะสำหรับที่จะเป็นรถคันต่อไป ที่สรุปแบบนี้ก็อยู่บนพื้นฐานที่ว่านักบิดที่มีประสบการณ์จะสนุกสนานกับการขับรถคันนี้มากกว่านักบิดหน้าใหม่ เพราะนักบิดที่เชี่ยวชาญแล้วจะมีความมั่นใจกว่าในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่มีพลังสูงแบบนี้
ดังนั้นนักบิดที่ช่ำชองก็จะสามารถปลดปล่อยพละกำลังที่มากับ ZX-14R ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำรถพัง ก็ขอจบรีวิว มอเตอร์ไซค์ Ninja ทั้งสองคันไว้เพียงแค่นี้นะครับ
เรียบเรียงจาก ultimatemotorcycling.com
ads2