รีวิวการขับขี่มอเตอร์ไซค์ 2015 Yamaha FJ-09
รีวิวการขับขี่มอเตอร์ไซค์ 2015 Yamaha FJ-09
ads1
ปีที่แล้ว Yamaha สร้างความฮือฮาในตลาดด้วยมอเตอร์ไซค์ FZ-09 (หรือ MT-09 ในยุโรป) ซึ่งเป็นมอเตอร์ไซค์แบบสามสูบเรียงขนาด 847cc ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับนักบิดทั่วโลกด้วยสไตล์เนคเก็ต ความสามารถยอดเยี่ยมและมาด้วยราคาที่ไ่ม่แพงมาก จนกลายเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดของมอเตอร์ไซค์แนว street bike ของ Yamaha ในปีทีผ่านมา และปีนี้ทาง Yamaha ก็หวังจะครองโมเมนตัมนั้นด้วยรุ่น sport-touring ที่มีชื่อรุ่นว่า FJ-09
Yamaha มองเห็นถึงศักยภาพของ FJ-09 ที่จะเกิดขึ้น จากการวิจัยของค่ายนี้พบว่ามอเตอร์ไซค์แนว sport-touring นั้นเพิ่มขึ้นถึง 34% จากปี 2009 ถึง 2013 และยังมีการประมาณการกันว่านักบิดหลายคนยังไม่มีรถมอเตอร์ไซค์แนวทัวร์ริ่งที่เหมาะสมรองรับนักบิดเหล่านั้น แม้จะมีอยู่บ้างแต่ก็จะเป็นรถที่หนักขนาด 600 – 700 ปอนด์ ราคาก็แตะ $20,000 USD อย่างเช่น FJR1300 ของ Yamaha ซึ่งเป็นมอเตอร์ไซค์คันสุดยอด แต่หนัก 640 ปอนด์ ในขณะที่ FJ-09 จะออกแนว sport-tourer แต่หนักเพียง 462 ปอนด์ และราคาอยู่แถวๆ $10,000 USD เท่านั้น
กรณีของ Yamaha FJ-09 นั้นก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นหลังจากที่ผมได้ลองขับมันครั้งแรก โดยมอเตอร์ไซค์ FJ-09 คันนี้พัฒนาจาก FZ-09 มามาก พยายามลดข้อบกพร่องไปหลายประเด็น อย่างที่เห็นเด่นชัดก็เรื่องการจ่ายน้ำมัน การปรับแต่ง ECU และการทำ Engine mapping ของ FJ-09 นั้นพัฒนาระบบการจ่ายน้ำมันได้ดีขึ้นมาก แม้ระบบอาจจะไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ โดยโหมด A ยังให้ความรู้สึกกระตุกอยู่บ้าง แต่การตั้งค่าเป็น Standard และ low-power B นั้นทำให้ขับได้นุ่มนวลขึ้นมากกว่า 2014 FZ
ด้วยปัญหาเรื่องแรงกระชากหายไปทำให้นักบิดสามารถสัมผัสถึงรายละเอียดของเครื่องยนต์สามสูบได้มากขึ้น เครื่องยนต์แบบนี้ถือเป็นตัวที่โดดเด่นที่สุด เสียงที่ออกมาไพเราะนุ่มนวลแม้บางคนอาจจะรู้สึกว่ามันรบกวนจิตวิญญาณมากไปก็ตาม แต่เครื่องยนต์ก็ยังให้พลังที่ดีในทุกช่วงความเร็วรอบ ช่วงต้นที่มีศักย์ภาพที่ดี ช่วงกลางที่ลื่นไหลและช่วงปลายที่เร้าใจ พร้อมแรงบิดเพียงพอตลอดทั้งย่าน แม้คนชอบขับแบบยกล้ออาจจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่เหมือนตัว FZ-09 แต่เจ้า FJ ก็พอจะแสดงความกร่างออกมาได้บ้าง
สำหรับคนที่มองมาเครื่องแรงๆแล้วละก็อาจจะรู้สึกว่าตัวเลขไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่ แต่การใช้งานในโลกความเป็นจริงก็ถือว่าเหลือเฟือสำหรับนักบิดทั่วๆไป โหมด D-Mode ทั้งสามนั้นก็เหมาะตามสภาพการต่างๆ โดย A-mode นั้นเหมาะสำหรับคนชอบแนวสปอร์ทที่เวลาเข้าโค้งต้องเอียงตัวกันหนักๆ การตั้งค่ามาตรฐานนั้นจะให้ความรู้สึกราบเรียบเหมาะสำหรับการขับแนวทัวร์ริ่ง B-Mode จะลดกำลังลงและปรับการตอบสนองต่อคันเร่งที่นิ่มนวลกว่าเดิม ผมชอบที่จะขับโหมดมาตรฐานเป็นส่วนมาก ส่วน B-Mode นั้นเลือกตอนเจอฝนพรำกับภาวะถนนที่ไม่เป็นปกติระหว่างการขับทดสอบ สิ่งที่ผมจะบ่นเกี่ยวกับ D-Mode ก็คงมีอย่างเดียวคือปุ่มที่จะเปลี่ยนค่ามันอยู่ด้านขวาและทำให้ยากที่จะเปลี่ยนตอนที่บิดคันเร่งอยู่
ฝนที่ตกเมื่อคืนและเกิดน้ำขังขึ้นในบางจุดและเจอน้ำสกปรกกระเด็นเป็นบางช่วงบนถนนที่โค้งไปโค้งมา สภาพถนนที่หลากหลายนี้ทำให้ผมต้องรู้สึกขอบคุณที่มีระบบ Traction Control ด้วย ผมไม่ได้รู้สึกว่าระบบ TC จะทำงานในตอนไหนยกเว้นตอนที่กำลังขับบนถนนลูกรังเท่านั้น ระบบ ABS ก็ถือเป็นระบบสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยเช่นกัน ผมไม่ได้รู้สึกว่าระบบ ABS จะทำงานแบบดุดันเท่าไหร่เช่นกัน
สิ่งที่ผมรู้สึกได้ก็คงจะเป็นระบบกันสะเทือนที่ได้มีการออกแบบใหม่ของ FJ เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดสำหรับ 2014 FZ-09 (MT-09) เนื่องจากสปริงที่นุ่มเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตะเกียบหน้านั้นดูจะไม่สอดคล้องกับพลังของเครื่องยนต์ซักเท่าไหร่ สำหรับรุ่นปี 2015 นั้นก็ยังเป็นยี่ห้อ KYB แต่ทาง Yamaha ได้มีการเพิ่มค่ารีบาวด์และค่า compression damping ทั้งล้อหน้าและล้อหลังเข้าไป ตะเกียบหน้าขนาด 41 มม ตอนนี้ก็มีสปริงที่ทำงานแบบ progressive และปรับค่ารีบาวด์ได้มากขึ้นจาก 3 ตำแหน่งเป็น 11 ตำแหน่ง โช้คหลังก็ทำงานได้สอดค้องกับค่าใหม่นี้แต่ยังปรับค่าได้แค่ 3 ตำแหน่งเหมือนเดิม (แต่โช้คหน้าหลังจะปรับค่า compression ไม่ได้)
ระบบกันสะเทือนที่ปรับเปลี่ยนใหม่นี้ทำให้ขับได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ผมคิดว่าทาง Yamaha ทำได้ดีในการที่จะให้ระออกมาเป็นสปอร์ททัวร์ริ่งจากบอดีมาตรฐานแบบนี้ เนื่องจาก FJ คันนี้สามารถจะทำงานได้ดีบนทางด่วนแต่ยังคงความกระด้างของโช้คไว้พอเหมาะสำหรับการขับบนทางโค้งขึ้นลงเขา ด้วยคันเร่งที่ตอบสนองอย่างนิ่มนวลทำให้มอเตอร์ไซค์คันนี้รู้สึกลงตัวกว่า FZ โดยเฉพาะตอนอยู่ระหว่างโค้งและออกจากโค้ง แม้ตอนขับจะตั้งค่าต่างๆต่ำกว่าที่ควรจะเป็นการขับคันนี้ให้ความรู้สึกถึงการทรงตัวที่ดีกว่าเจ้า FZ เป็นไหนๆ แม้ตอนเปลี่ยนเกียร์จะรู้สึกว่า FJ-09 กระตุกนิดหน่อยแต่คิดว่าแก้ไขไม่ยาก คิดว่าคราวหน้าเราอาจจะได้ทดสอบ FJ ที่นุ่มนวลกว่านี้
ในส่วนของเบรกนั้น FJ จะมาพร้อมจานคู่ขนาด 298มม พร้อมคาลิบเปอร์แบบสี่สูบแบบเรเดียลเม้าท์ แม้การจับเบรกจะไม่ทรงพลังเท่าไหร่แต่ก็ไม่ถึงกับหลวมมาก ต้องขอคุณตะเกียบหน้าที่หนึดๆเลยไม่ถึงกับคะมำมากเวลาเบรกแรงๆ โดยรวมแล้วไม่ถึงกับสุดยอดแต่ก็พอรับได้
เกียร์แบบ 6 สปีดก็ทำนองเดียวกัน ในยุคของเกียร์แบบทันสมัยในปัจจุบัน FJ-09 เหมือนจะดูเป็นแบบธรรมดาไม่มีอะไรหวือหวา แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้าย การเปลี่ยนเกียร์ทำได้แม่นยำคลัชก็จับได้นิ่มนวลเอาเป็นว่าไม่มีคำบ่นจากผมก็แล้วกัน
สำหรับในส่วนของความเป็นทัวร์ริ่งแล้วละก็ต้องมองเรื่องราคาว่า มอเตอร์ไซค์คันนี้ราคาไม่ได้สูงมาก แทบจะน้อยกว่าครึ่งนึงของมอเตอร์ไซค์แนวทัวร์ริ่งอย่าง H-D, Honda หรือ BMW ด้วยซ้ำ แต่จะว่าไปแล้วก็ยังให้อะไรที่บ่งบอกความเป็นทัวร์ริ่งอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
FJ-09 มาพร้อมแฟร์ริ่งครึ่งคัน และบังลมหน้าปรับระดับได้เองสามตำแหน่งในช่วง 30 มม ทำให้ลมวิ่งผ่านคนขับด้วยแรงปะทะน้อยสุด นอกจากนี้แล้วยังมีแฮนด์การ์ดเชิงมุมทำให้การขับในสภาพอากาศหนาวเย็นจากลมและฝนนั้นเหมาะมาก หลายคนอาจจะรู้สึกว่าไม่เป็นทัวร์ริ่งเท่าไหร่สำหรับการขับขี่มอไซค์คันนี้ แต่สำหรับผมแล้วมันให้ความรู้สึกถึงสิ่งกำบังลมต่างๆที่เหมาะกับการขี่ทางไกลได้ดี
แต่สำหรับเบาะนั่งแล้วผมรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่หากต้องขับขี่ระยะไกล ผมให้คะแนนความสบายแค่ระดับพอรับได้ แต่มันจะรูัสึกตึงๆเมื่อขับไปนานๆ เบาะใหม่แบบสองชิ้นนั้นยาวและกว้างกว่าเดิม มีพื้นที่เบาะมากขึ้นทั้งคนขับและผู้โดยสารเมื่อเทียบกับเบาะแบบเดี่ยวของรุ่น FZ และเบาะยังสูงกว่าเดิม 30 มม ทำให้ท่านั่งขับมาตรฐานนั้นสูงที่ 33.3 นิ้วและสามารถเพิ่มความสูงได้เป็น 33.9 นิ้วอีกด้วย
เบาะนั่งสูงแบบนี้เมื่อบวกกับแฮนด์ที่สูงกว่าเดิม 20 มม นั้นทำให้ FJ-09 มีท่านั่งแบบตัวตรงและขับสบายกว่าเดิม ซึ่งแฮนด์ก็ปรับค่าได้ด้วยเช่นกัน โดยจะมีแคลมป์ปรับค่าได้ 10 มม ท่านั่งจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกบ้างเล็กน้อยด้วยการซื้ออุปกรณ์เสริมอย่าง บังลมใหม่ เบาะที่ต่ำกว่าเดิมเป็นต้น
หน้าจอแบบ LCD และเมนูต่างๆนั้นคนที่ขับ FJR มาก่อนอาจจะรู้สึกคุ้นเคยดี จอด้านซ้ายจะแสดงความเร็วรอบแบบแถบบาร์ ส่วนมาตรวัดความเร็วจะเป็นตัวเลขดิจิตอล ส่วนจอเล็กๆด้านขวาจะแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งตำแหน่งเกียร์เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังมีช่องเสียบไฟขนาด 12 Volt อยู่ทางด้านซ้ายของแผงหน้าปัทว์ นอกจากนี้ก็มีไฟหน้า LED และเซ็นเตอร์แสตนด์ที่สร้างความรู้สึกการเป็นมอเตอร์ไซค์ทัวร์ริ่งมากขึ้น
แต่ที่น่าประหลาดใจก็คงเป็นเรื่องขายึดและกระเป๋าสัมภาระที่ไม่รวมมาในราคามาตรฐาน ท่านจะต้องเพิ่มเงินอีกราวๆเกือบพันเหรียญเพื่อให้ได้มันมา หมวกกันน้อคผมใส่ลงไปไม่ได้ซึ่งบางคนอาจจะไม่พอใจนัก แต่การใส่ของอื่นๆก็บรรจุได้พอสมควร และแน่นอนว่ากุญแจล้อคกระเป๋านั้นเป็นคนละดอกกับที่ใช้กับรถ เป็นกุญแจธรรมดาๆ ที่สอดเข้าไปแล้วบิดลูกกุญแจ
ถังน้ำมันของ FJ-09 นั้นอยู่ที่ 4.8 แกลลอนซึ่งใหญ่กว่า FZ-09 อยู่ 1.1 แกลลอน ซึ่งก็เหมาะสมที่จะเป็นมอเตอร์ไซค์ทัวร์ริ่งดี ทาง Yamaha อ้างว่าอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 44 ไมล์ต่อแกลลอนจึงเป็นไปได้ว่าน้ำมัน 1 ถังจะวิ่งได้ไกล 380 กม แต่ในความเป็นจริงเราพบว่าทำได้น้อยกว่านั้น
เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้ว FJ-09 นั้นถือว่าน่าท่าท้ายสำหรับการเป็น sport-touring แรงม้าก็พอเหมาะ น้ำหนักก็เบาลงเล็กน้อย ราคาก็อยู่แถวๆ 10,000 USD ซึ่งถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับทัวร์ริ่งทั่วไป แถม FJ-09 ได้แก้ไขปัญหาต่างที่เจอในรุ่น FZ นักบิดหลายๆคนคงจะยินดีต้อนรับมอเตอร์ไซค์คันนี้เข้ามาในโรงรถเป็นแน่
ที่มา motorcycle-usa.com