2014 Honda VFR800 รีวิวการขับขี่มอเตอร์ไซค์ First Ride
2014 Honda VFR800 รีวิวการขับขี่มอเตอร์ไซค์ First Ride
ใครก็ตามที่ยังจำได้ถึงการขับขี่มอเตอร์ไซค์ในช่วงปลายยุคปี 80 ก็คงจะยังจำได้ได้ถึงมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกๆของ Honda VFR750 ด้วยภาพของมอเตอร์ไซค์โทนสีเดี่ยวตัดกับเส้นสายกราฟฟิคสวยงาม
ด้วยสไตล์ที่โดดเด่นและเส้นสายง่ายๆทำให้ขับไปไหนมาไหนได้อย่างเทห์ๆ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทางโอ้อวดใคร มันดูเหมาะสมและลงตัวในทุกๆด้าน ไม่เพียงแค่หน้าตาเท่านั้นที่ดูดี ในปีที่มีการเปิดตัวปี 1986 นั้น Ron Haslam ได้ขับรถ VFR750 คันที่วางขายทั่วไปเข้าตำแหน่งที่สามในการแข่งขัน Transatlantic Challenge ที่ Donington Park
ตลอดระยะเวลา 28 ปี มอเตอร์ไซค์ VFR ไม่เคยแตกแถวจากการเป็นมอเตอร์ไซค์แนว sports tourer แม้จะมีเปลี่ยนแนวไปบ้างเล็กน้อยกับตัว NR750 ในช่วงปี 90 แต่แฟนๆก็ไม่เคยจะไปคิดว่าเจ้า 800 เคยพัฒนาไปทางนั้น
แต่รุ่นล่าสุดอย่าง 2014 VFR800 นั้นได้รับการปรับปรุงในหลายๆส่วน ซึ่งดูเหมือนจะมากกว่าที่เคยคงเพื่อที่จะปรับรูปโฉมให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีเส้นสายนำสายตา เหมือนกับเราเห็นสระน้ำสีแดง (หรือ ดำ หรือ ขาว หากคุณใจกล้าพอ) ที่เห็นแล้วอยากจะดำดิ่งลงไปเล่น
การเปลี่ยนแปลงอื่นๆนั้นมากกว่าที่เราเห็น ตามที่ Honda แจ้งมา ทุกๆส่วนยกเว้นเฟรมหลักและเครื่องยนต์ได้รับการเปลี่ยนใหม่สำหรับรุ่นปี 2014 โดยมอเตอร์ไซค์คันนี้จะมีระบบกันสะเทือนใหม่ทั้งสองล้อ ตะเกียบหน้านั้นปรับค่าพรีโหลดและ conpression daming ได้ รวมไปถึงโชคหลังที่ปรับค่า rebound กับพรีโหลดได้ด้วย พร้อมตัวรีโมทสำหรับการปรับค่าพรีโหลด
ล้อก็ใหม่พร้อมซี่ล้อที่บางกว่าเดิมและมีแผ่นเสริมด้านบนของสวิงอาร์มแบบด้านเดียวเพื่อเสริมความแกร่ง ซับเฟรมแบบเหล็กนั้นตอนนี้ก็เป็นอลุมิเนียมหล่อ ทำให้น้ำหนักลดลง 2 กิโลกรัม ท่อคู่ใต้เบาะนั่งนั้นถูกแทนที่ด้วยท่อเดี่ยวด้านขวา ลดล้ำหนักลงอีก 5 กิโลกรัม
มอเตอร์ไซค์คันนี้มาพร้อมกับแฮนด์จับแบบอุ่นร้อน ระบบ traction control ระบบยกเลิกไฟเลี้ยวอัตโนมัติ แผงหน้าปัทว์ใหม่และเบาะที่นั่งคนขับและผู้โดยสารที่ปรับความสูงได้
ดูๆแล้วก็เหมือนจะเป็นรุ่นใหม่หมดจดก็ว่าได้ การเปลี่ยนแปลงหลักๆล่าสุดก็คือ 12 ปีที่แล้ว นับจากการเปิดตัวของรุ่นใหญ่กว่าอย่าง VFR1200 ในปี 2009 นั้น ทาง Honda ได้หวังจะผลักดันรุ่นนั้นให้เป็นตัวเด่นของกลุ่มนี้ และด้วยยอดขายของมอเตอร์ไซค์รุ่นกลางนั้นลดลง ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะปลุกรุ่นตำนานนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
แล้วมันจะมากลบตำนานตัวเก่าได้หรือไม่ หรือว่าความคาดหวังที่เราตั้งไว้มันสงเกินไป
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากระยะทาง 30 เมตรห่างจากรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ก็คงเป็นเรื่องของสีสันที่โดดเด่น หากฉายไฟที่ไม่สว่างมากเข้าไป ก็คงไม่เห็นหลืบเงาเท่าไหร่ ทุกชิ้นส่วนของรถเหมือนจะประกอบด้วยความปราณีตทุกชิ้น ช่องว่างระหว่างแต่ละชิ้นส่วนบางกว่าเส้นผมและเป็นระเบียบ
บนแผงหน้าปัทว์จะเห็นการจัดวางจอดิจิตอลที่กลับกันจากจอธรรมดา โดยจะเป็นหลักเลขสีเทาบนพื้นดำแทนที่จะเป็นดำบนพื้นเทา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะมองว่าเป็นสิ่งพิเศษสำหรับรุ่นนี้
แม้แต่ระบบทำความร้อนของแฮนด์ที่ปกติแล้วเหมือนจะไม่ได้รับการใส่ใจเท่าไหร่ แต่สำหรับรุ่น VFR800 คันนี้ แผงหน้าปัทว์จะบอกว่าความร้อนนั้นอยู่ระดับไหน และยังบอกถึงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ความเร็วเฉลี่ย และเกียร์ที่กำลังขับ
ตอนที่เครื่องยนต์ขนาด 782cc อยู่ในภาวะรอบต่ำนั้น ความต้องการที่จะเปิดคันเร่งแล้วทำให้เข็มวัดรอบกระดิกบนหน้าปัทว์พร้อมปล่อยเสียงคำรามออกมานั้นแทบจะห้ามไว้ไม่อยู่
บนเส้นทางคดเคี้ยวไปตามเทือกเขา แรงบิดที่ให้มานั้นเหลือเฟือที่จะออกจากโค้งที่รอบตั้งแต่ 4,000 รอบต่อนาที ที่ 7,000 รอบต่อนาทีเครื่องก็จะคำรามดังขึ้น ด้วยระบบ VTEC ของ Honda จะเพิ่มการทำงานของวาล์วจาก 2 เป็น 4 วาล์ว
มอเตอร์ไซค์ VFR รุ่นแรกๆที่ใช้ระบบ VTEC นั้นได้รับการตำหนิเรื่องกำลังเครื่องยนต์ที่เพิ่มมากระทันหัน อาจจะโอเคหากคุณจะจัดการมันด้วยการเปลี่ยนเกียร์ แต่การขับมอเตอร์ไซค์ไปมาในช่วงความเร็วรอบนั้นๆ บางคนอาจจะรู้สึกว่ากระตุกไปบ้าง
แต่ตอนนี้การเพิ่มขึ้นของกำลังอาจจะรู้สึกได้บ้างแต่ไม่มาก ว่าไปแล้วก็ไม่ได้ถึงกับกระโดด แค่เสียงเครื่องยนต์คำรามเพิ่มขึ้น กำลังก็ส่งมาอย่างราบรื่น และความเร็วรอบก็ไต่ขึ้นและพร้อมจะวิ่งไปหาขีดแดงที่อยู่ที่ 12,000 รอบต่อนาที
ขับไปขับมาก็แทบจะวางไม่ลง เสียงโน้ตเครื่องยนต์ครางกระหึ่มอย่าลืมนะครับว่าคำว่า VFR มาจากคำว่า V-Four Racing
มอเตอร์ไซค์คันที่ให้บรรดาสื่อได้ลองขับนั้นติดตั้งระบบ quick shift มาด้วย ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสิรมที่ยังไม่ได้ระบุว่าราคาอยู่ที่เท่าไหร่ ความรู้สึกที่ไม่ต้องมีคลัชและการเปลี่ยนเกียร์ด้วยคันเร่งเปิดเต็มที่นั้นสุดยอด เสียงเครื่องยนต์คำรามพร้อมกับเกียร์ที่เปลี่ยนไปโดยอัตโนมัตินั้นให้ความรู้สึกเหมือนคุณกำลังลงแข่งรถก็ว่าได้ นึกว่าตัวเองกำลังเป็น Ron Haslam ในการแข่งขัน Translantic ปี 1986 อยู่ดีๆ แต่พอเห็นโค้งข้างหน้าเข้ามาใกล้ก็เริ่มจะรู้สึกตัวว่าตัวเองไม่ใช่นักแข่งมอไซค์ซักหน่อย
ไม่ใช่ว่ามอไซค์ VFR800 คันนี้จะขับยาก ระบบเบรกใหม่ที่มาพร้อม ABS เป็นอุปกรณ์มาตรฐานนั้นไม่ได้เชื่อมโยงระหว่างเบรกหน้าและหลังเหมือนมอเตอร์ไซค์ Honda คันอื่นๆในอดีต ระบบเบรกอันทรงพลังและแม่นยำนั้นจะให้พลังหยุดตามคำสั่งของนิ้วคุณ การเบรกตอนเข้าโค้ง ตะเกียบหน้ายุบตัวพอเหมาะที่จะทำให้มอเตอร์ไซค์ของคุณอยู่ในตำแหน่งเหมาะสมก่อนที่คุณจะปล่อยเบรกและเข้าโค้งอย่างสวยงาม
สำหรับการขับขี่ระยะทางไกลแบบทัวร์ริ่ง ท่านั่งขับอาจจะดูออกแนวสปอร์ทไปสำหรับบางคน ต้องเอื้อมแขนไปข้างหน้ามากเกิน ทำให้ต้องทิ้งน้ำหนักลงบนแขนมากเกิน โดยส่วนตัวแล้วผมไม่รู้สึกอะไร เพราะมันคงเป็นส่วนหนึ่งที่จะให้ความรู้สึกความเป็น VFR ของมัน
คนที่เป็นแฟนมอไซค์รุ่นเก่าอย่าง VFR750 มักจะไม่ชอบรุ่น 800 เพราะระบบ VTEC ที่ว่า แต่สำหรับผมแล้วมอไซค์ VFR 800 ใหม่นี้เหมาะสมที่ VFR รุ่นกลางควรจะเป็น โดยเป็น sport tourer ตัวจริงที่พร้อมจะลงสนามแข่งควบคู่ไปกับการขับทัวร์ระยะไกลเป็นสัปดาห์
แน่ละว่าผมหาเรื่องที่จะบ่นเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์คันนี้ได้ ก่อนหน้านี้ผมบอกว่าระบบยกเลิกไฟเลี้ยวอัตโนมัติอัจฉริยะ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าจริง โดยมันจะใช้ความแตกต่างระหว่างความเร็วล้อหน้าและหลังในการจะตรวจจับว่าคุณเลี้ยวเสร็จหรือยัง ผมแค่ไม่แน่ใจว่ามันจะใช้งานได้ดีในความเป็นจริงหรือเปล่า บางครั้งมันก็ยกเลิกไฟเลี้ยวเร็วเกินไป บางครั้งก็ช้าเกินไป ถ้าเราจะต้องไปควบคุมการทำงานของมันเอง มันก็ไม่ใช่ระบบอัฉริยะซินะ
ระบบ traction control นั้นอยู่บนกล่องด้านซ้ายของคันบังคับที่ดูเหมือนไม่สมราคาเท่าไหร่ สามารถปรับค่าได้สองระดับคือ ปิด และ เปิด แต่ก็เปิดปิดได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องปิดคันเร่งก่อนแล้วค่อยปิดระบบเหมือนคันอื่นๆ แค่กดปุ่มค้างไว้สองสามวินาที ไฟเตือนบนแผงหน้าปัทว์ก็จะบอกว่าระบบปิดแล้ว
ระบบ traction control จะทำงานโดยการลดการจุดระเบิดโดยจะเข้าไปทำหน้าที่แทนอย่างราบรื่นไม่จำเป็นต้องใช้ระบบ throttle-by-wire ตามที่ Honda แจ้งมา จะว่าไปแล้วตอนที่ทดลองขับผมไม่ได้รู้สึกเลยว่าระบบกำลังทำงานอยู่
ตรงบริเวณท้ายรถจะมีจุดให้ยึดกระเป๋าสัมภาระ แน่นอนว่ามันดูเทห์อย่างมีระดับเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆที่เคยพบเห็น ข้อตำหนิผมก็คงเป็นว่า ถ้าคุณไม่คิดจะติดตั้งกระเป๋าสัมภาระก็คงไม่ต้องติดเฟรมอันนี้ไว้ แต่ระบบตัวยึดนี้มันติดตั้งถาวร ถ้าไม่มีกระเป๋าสัมภาระมาด้วย มันเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป
การปรับเบาะนั่งผู้ขับขี่นั้นจะต้องใช้ประแจ และการปรับที่นั่งตำแหน่งสูงสุดนั้นจะทำให้ร่องระหว่างเบาะกับตัวรถนั้นเหมือนจะกว้างเกินไป จะว่าไปแล้วก็เป็นเพียงจุดเล็กๆเท่านั้น
โดยรวมแล้วผมก็ประทับใจกับมอเตอร์ไซค์คันนี้มาก สวยและเหมาะสม ดูเหมือนว่า VFR ตัวใหม่นี้จะโตขึ้นแต่ก็ยังให้ความเร้าใจในการขับขี่อยู่มาก ถ้าคุณเป็นแฟน VFR มาก่อน ผมบอกได้เลยว่านี่คือมอเตอร์ไซค์คันที่คุณกำลังรอคอย
ภาพและข้อมูลจาก visordown.com
ads2